การแข่ง ขันประเภทแฟลตแลนด์จะเป็นการตัดสินจากการให้คะแนน การแข่งก็จะคล้ายๆกับยิมนาสติกลีลา แต่จะเป็นลีลาบนจักรยานBMX โดยมีการแบ่งรุ่นการแข่งขันออกเป็นหลายรุ่นตามระดับฝีมือ ลักษณะการแข่งจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายและความต่อเนื่องของท่าโดยไม่ให้เท้าสัมผัสพื้น หากเท้าสัมผัสพื้นจะถูกหักคะแนนตามความเหมาะสม การแข่งขันอีกแบบหนึ่งคือการแข่งขันแบบตัวต่อตัว ( Battle) คือการออกมาประชันท่ากันแบบตัวต่อตัว หากยังนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงการชกมวย แต่จะใช้การเล่นท่าประชันกัน ซึ่งจะแข่งขัน 3 ยก โดยนักกีฬาจะผลัดกันออกมาแสดงท่าผาดโผน ใน 1 ยกจะเล่นท่าผาดโผนได้คนละหนึ่งชุด (ไม่ได้กำหนดเวลาและความยาวของท่าต่อเนื่องส่วนใหญ่ จะไม่เล่นท่าต่อเนื่องกันยาวมากนักเพื่อป้องกันความผิดพลาด) เมื่อครบ 3 ยก กรรมการจะตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะไป และยังมีการจัดแข่งแยกย่อยออกไปอีกเพื่อให้การจัดแข่งขันนั้นมีความน่าสนใจ และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การแข่ง Best Trick คือการแข่งว่าท่าของใครยากและเจ๋งที่สุดเป็นผู้ชนะ การแข่งขันว่าใครเล่นท่าต่อเนื่องได้มากที่สุด และการแข่งขันว่าใครเล่นท่าได้นานที่สุด เป็นต้น
ลักษณะของจักรยาน BMX FLATLAND ช่วงของตัวรถจักรยานประเภทนี้จะสั้นกว่ารถประเภทอื่นๆ เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเล่นท่าผาดโผน โครงของรถแฟลตแลนด์จะออกแบบมาให้สะดวกในการเล่นท่าและมีน้ำหนักเบา รูปทรงจะโค้งบ้างเว้าบ้าง ชิ้นส่วนต่างๆก็จะแตกต่างกันกับประเภทอื่นๆ บางท่านที่ยังไม่เคยรู้จักกับBMX ผาดโผนอาจจะยังแยกไม่ออก มองผิวผืนก็จะดูเหมือนๆกันและอาจจะทำให้ท่านเลือกใช้รถผิดประเภทได้ ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป
ทักษะของการขี่จักรยาน BMX FLATLAND โดยหลักๆเลยก็จะเน้นการทรงตัวบนรถจักยานที่เคลื่อนไปเพียงล้อเดียว โดยเท้าของเราจะยื่นอยู่บนที่พักเท้า ( Peg) ที่อยู่ตรงแกนล้อทั้งล้อหน้าและหลัง ทักษะการใช้เท้าไถล้อเพื่อให้รถได้เคลื่อนที่ไป และทักษะการต่อเนื่องของแต่ละท่า การขี่จักรยาน BMX FLATLAND จำเป็นต้องใช้สมาธิ ความพยายาม และความอดทนสักนิดหนึ่งเพราะการฝึกหัดในแต่ละท่าอาจะจะต้องใช้เวลามากพอดู บางท่าอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ แต่บางท่าก็อาจใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความขยันฝึกซ้อมและความอดทน ถ้าหากคุณเป็นคนใจร้อนแล้วละก็ ลองหันมาหัดเล่นจักรยาน BMX FLATLAND ดู มันอาจจะทำให้คุณเป็นคนใจเย็นและมีสมาธิมากขึ้นก็ได้
ลักษณะของจักรยาน BMX STREET ช่วงของรถจักรยานประเภทนี้จะยาวกว่าของประเภทแฟลตแลนด์เล็กน้อย และรูปทรงจะไม่แปลกเหมือนรถจักยานแฟลตแลนด์
ก็เพราะสตรีตไม่ได้ใช้สำหรับ เล่นท่าบนพื้นราบ รูปทรงจึงไม่ออกแบบมาสำหรับเล่นท่าแต่จะเน้นไปในการขี่ และกระโดดซะส่วนใหญ่ ชิ้นส่วนต่างๆ ก็จะแตกต่างกันด้วย
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยาน BMX STREET ที่เน้นๆเลยก็คือ การกระโดด ( Bunny Hop ) การยกล้อหน้า (Manual ) และการไถลบนราว ( Grind) และก็ยังมีท่าที่พลิกแพลงอีกมากมาย สำหรับจักรยาน BMX STREET จะต้องใช้ความกล้าพอควรเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง ผู้เล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง และเมื่อคุณเล่นท่าพื้นฐานของประเภทนี้ได้จนเป็นหมดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ใจคุณแล้วละว่า “กล้าพอหรือเปล่า”
ที่จะเล่นท่าผาดโผนกับอุปกรณ์บนท้องถนนเหล่านั้น
BMX PARK เป็นการขี่แบบเดียวกับประเภทสตรีต โดยเล่นกับอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นในรูปแบบสนาม SKATE PARK ซึ่งพัฒนาอุปกรณ์ในการเล่นมาจากอุปกรณ์บนท้องถนน ให้ได้มาตรฐานและมีความน่าเล่นมากยิ่งขึ้นโดยอุปกรณ์ในสนามจะถูกออกแบบและ จัดว่างในตำแหน่งที่เหมาะสม
ในการแข่งขันจักรยาน BMX PARK จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่าและความต่อเนื่องในการเล่นในแต่ละอุปกรณ์ ในการแข่งขัน นักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้
โดยไม่ ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่ากับ อุปกรณ์ต่อไป และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นละครับ เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เล่นจากท้องถนน มาเป็นในสนามที่มีความเป็นมาตรฐานเท่านั้นเอง
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยานประเภทนี้ก็ใช้ทักษะเดียวกับประเภทสตรีตนั้นละครับ แต่จะเพิ่มในส่วนของการเล่นท่ากับอุปกรณ์ได้หลากหลาย และท่ากลางอากาศ เพิ่มเข้ามา ถ้าหากมีพื้นฐาน BMX STREET อยู่แล้ว ก็สามารถเล่น BMX PARK ได้อย่างไม่ยากนัก
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
BMX DIRT คือการขี่จักรยานผาดโผนกระโดดเนินดินโดยจะเน้นเล่นท่ากลางอากาศเพียงอย่าง เดียว ลักษณะของสนามจะเป็นเนินดินคล้ายสนาม Motocoss มีเนินสำหรับกระโดดติดต่อกันหลายๆลูก ทำให้การกระโดดเล่นท่าผาดโผนกลางอากาศมีความต่อเนื่องกัน
การแข่งขันในประเภท BMX DIRT จะทำการปล่อยตัวนักกีฬาที่ละคน แล้วให้ทำการกระโดดเนินดินและเล่นท่ากลางอากาศ ให้ครบจำนวนเนินเดินที่กระโดด เนินดินก็จะมีจำนวนที่ไม่มากนัก นักกีฬาคนไหนที่เล่นท่าได้ยากและเจ๋งที่สุดโดยไม่มีขอผิดพลาดเลยก็จะเป็นผู้ ชนะไป
ลักษณะของจักรยาน ก็ใช้แบบเดียวกับ ประเภทสตรีต เพียงแค่เปลี่ยนยางมาใช้เป็นแบบที่มีดอกยางหนาๆ ที่ใช้สำหรับสนามดินแบบMotocoss Pegs (ที่พักเท้า) ออกแค่นั้นเอง
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
ในการแข่งขันจักรยาน BMX VERT จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่า ในการแข่งขันนักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้ โดยไม่ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่า กับอุปกรณ์ และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นเอง
ทักษะของกีฬาประเภทนี้ จะใช้ทักษะค่อนข้างยากสักนิดหน่อย เนื่องด้วยอุปกรณ์มีความสูงมาก และมุมในการลอยตัวก็เป็นมุมที่ตั้งฉากกลับพื้นดิน จึงจำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการกระโดดลอยตัวกลับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Quarter Pipe ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ก็จะอยู่ในสนาม SKATE PARK หรือคุณต้องมีทักษะในการเล่น BMX PARK อย่างค่อนข้างชำนาญแล้วนั้นเอง
BMX Racing เป็นการขี่แบบแข่งความเร็วในระยะสั้นๆ รูปแบบลักษณะของสนามแข่งจะออกแบบให้มีทางโค้งสลับกันไป และมีเนินสำหรับกระโดด เช่นเดียวกับสนามของ Motocoss จักรยาน BMX Racing ได้เอามาในบ้านเราเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นที่นิยมมาก แล้วก็ได้เงียบหาไปจากวงการเมื่อช่วง 10ปีที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันนี้ จักรยานBMX racing กำลังกลับมาเป็นที่นิยม เริ่มมีการจัดแข่งขันมากขึ้น คนที่เคยเลิกไป ก็เริ่มจะกลับมาปัดฝุ่นจักรยานคันเก่า หันมาปั่น BMX กันอีกครั้ง
ในการแข่งขันจักรยานBMX Racing จะแข่งรุ่นการแข่งขันตามอายุและตามความสามารถ มีการเก็บคะแนนสะสมแต่ละสนาม การแข่งขันในหนึ่งรัน โดยปกติจะปล่อยตัวมากที่สุด 8 คัน แล้วหาผู้ชนะในแต่ละรันเข้ารอบต่อไป ขึ้นอยู่กับกติกาในการจัดแข่งขันในสนามนั้นๆ
ลักษณะของจักรยานBMX RACING ช่วงของรถจะยาวกว่า BMX ประเภทอื่น เพื่อช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสกับพื้นสนาม ทำให้ยึดเกาะสนามได้ดี ทำให้ง่ายต่อการกระโดดขึ้น ลง เนิน รูปร่างของตัวรถจะออกแนวทันสมัยรูปทรงออกแบบมาตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รูปทรงธรรมดาก็ยังเป็นที่นิยมอยู่
ทักษะของการขี่จักรยานประเภท Racing โดยหลักๆก็จะเน้นการกระโดดเนิน การเข้าแบงก์ และการเร่งความเร็ว สำหรับท่านที่ไม่เคยขี่ Racing มาก่อนก็ไม่ควรไปลองกระโดดเนินเองนะครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ บางคนที่เคยเห็นจากโทรทัศน์เห็นว่าง่ายๆ แต่ที่จริงแล้วก็อาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ควรจะศึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้ที่ขี่อยู่ก่อนแล้ว แล้วก่อนลงสนามทุกครั้งก็ควรจะใส่อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ชื่นชอบกีฬาความเร็วเป็นชีวิตจิตใจแล้วละก็ BMX ประเภทนี้น่าจะเหมาะกับคุณมากที่สุด
อ้างอิงhttp://plawanpost.exteen.com/20100922/bmx